วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การพักอาศัยในวัด

ศาสนาพุทธเกาหลีนิกายจอกเยและชอนแตเสนอโอกาสให้ผู้มาเยือนจากนานาชาติได้พักและเข้าร่วมชีวิตในวัดกับพระและชีภายใต้โปรแกรมการค้างคืนในวัดมี 14 วัดสำคัญทั่วประเทศเข้าร่วมโปรแกรมนี้โดยโปรแกรมลักษณะต่างๆ สำหรับชาวต่างชาติคือการนั่งสมาธิแบบเซน การทานอาหารแบบพระเรียกว่า บารูกอง-ยาง พิธีดื่มชา ศิลปการต่อสู้ของพุทธเรียกว่าซุนมูโด นิทรรศการของแม่พิมพ์ไม้โบราณบางส่วนจากทั้งหมด 80,000 ชิ้น ตริปีตากะโคเรียน่า (คัมภีร์ทางศาสนาพุทธ) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกและการแนะนำขั้นตอนการพิมพ์

การพักอาศัยในวัดนี้มีขึ้นครั้งแรกสำหรับนักท่องเที่ยวนานาชาติในช่วงการแข่งขัน FIFA World Cup ปี 2002 เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่พักและเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับพุทธวัฒนธรรมของเกาหลี อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว ทางสถาบันพุทธศาสนาเกาหลีโชแก จึงได้จัดให้มีรายการพักอาศัยในวัดต่อเนื่องเรื่อยมาเพื่อให้ผู้มาเยือนได้มีโอกาสสัมผัสกับวิถีชีวิตของพระ (ซือนิม) วัฒนธรรมเกาหลี รวมถึงความงดงามต่าง ๆ

นักท่องเที่ยวที่พักอาศัยในวัดจะได้สัมผัสกับชีวิตประจำวันของชาวพุทธ เริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ ทำวัตรเช้าในตอนเช้าตรู่ ประมาณตี 3 นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้วิธีการลดความเครียดและควบคุมสติด้วยการทำสมาธิแบบเซน ลิ้มลองชาเกาหลีในช่วงพิธีชงชา ดาโด และรับประทาน บารูกองยัง ซึ่งเป็นอาหารมังสวิรัติของทางวัด พร้อมทั้งสัมผัสวิธีการรับประทานอาหารและทัศนคติในการรับประทานอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวพุทธ นอกจากกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าว ยังมีรายการอื่น ๆ อีกมากมาย ที่สามารถจัดได้ตามความสนใจ เช่น การพิมพ์ด้วยพิมพ์ไม้แบบ ไตรปิฎก เกาหลี การทำตะเกียงดอกบัวแบบเกาหลี ทัวร์ชมวัด และการร่ายรำแบบ เซิน (เซน) ค่าใช้จ่ายอยู่ในราว 50,000 วอน ถึง 80,000 วอน ซึ่งรวมค่าอาหาร 3 มื้อ และค่าล่ามแปล สำรองที่ล่วงหน้า 1 อาทิตย์  

รายการแนะนำสำหรับผู้มาพักอาศัยในวัด
ทำวัตรเช้า ในเวลาเช้าตรู่ โดยปรกติประมาณตี 3 ทุกคนในวัดจะทำพิธีกรรมทางธรรมร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการปัดเป่าความคิดที่ไม่เป็นมงคล

เซิน หรือการทำสมาธิแบบเซน ระหว่างที่พักอยู่ที่วัด นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้และฝึกหัดท่าทางในการนั่งสมาธิและวิธีการนั่งสมาธิแบบพระ เพื่อค้นพบตัวเอง

พิธีชงชา ดาโด โดยปรกติแล้ว ผู้คนเกือบทั่วทั้งทวีปเอเชียนั้นจะนิยมการดื่มชา แต่พิธีชงชาแบบในวัดเกาหลีนั้นมีเอกลักษณ์ในความงดงามและความสำรวม

อาหารพระ บารูกองยัง บารูกองยัง เป็นการรับประทานอาหารแบบพุทธที่พิเศษและมีลักษณะเฉพาะ บารู หมายถึงชามที่ใส่อาหารในปริมาณที่เหมาะสม และยังหมายถึงการรับประทานของพระ ซึ่งก็คือการรับประทานอาหารมังสวิรัตินั่นเอง ซึ่งวิธีการรับประทานจะเป็นไปตามกฎของพุทธศาสนาในการมีสติระลึกได้อยู่เสมอ วิธีรับประทานแบบนี้ จะเป็นการช่วยฟื้นฟูจิตใจ ซึ่งจะทำให้ระลึกถึงคุณค่าของสิ่งรอบตัวทั้งทางกาย ใจ และวิญญาณ

อุลลย็อก เป็นการใช้แรงงาน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล เช่น การกวาดลานวัด ทำอาหาร ซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ หรือทำงานอื่น ๆที่จำเป็น

ทัวร์ชมวัด ผู้ร่วมเดินทางจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์เฉพาะของวัดเกาหลี ในระหว่างที่พำนักอยู่ที่วัด
เบอร์โทร: (02) 732-9925
Url: http://www.templestaykorea.net/
Email: ts002@buddhism.or.kr


วัดที่มีรายการพักอาศัยในวัด
1.รายการพักค้างคืนในวัด 
Beomeosa TempleL: Geumjeong-gu, Busan
Donghwasa TempleL: Dong-gu, Daegu
Gapsa TempleL: Gongju, Chungcheongnam-do Province
Hwaeomsa TempleL: Gurye-gun, Jeollanam-do Province
Jeondeungsa TempleL: Ganghwa-gun, Incheon
Magoksa TempleL: Gongju, Chungcheongnam-do Province
Mihwangsa TempleL: Haenam-gun, Jeollanam-do Province
Naksansa TempleL: Yangyang-gun, Gangwon-do Province
Sinheungsa TempleL: Sokcho, Gangwon-do Province
Tongdosa TempleL: Yangsan, Gyeongsangnam-do Province
2.รายการพักค้างคืนวันสุดสัปดาห์ (วัดจะมีรายการพักค้างคืนเฉพาะวันสุดสัปดาห์)
Daeheungsa TempleL: Haenum-gun, Jellanam-do Province
Jikjisa TempleL: Gimcheon, Gyeongsangbuk-do Province
Songgwangsa TempleL: Suncheon, Jeollanam-do Province
Woljeongsa TempleL: Pyeongchang-gun, Gangwon-do Province
3.รายการสัมผัสชีวิตในวัด (ไม่มีการพักค้างคืน)
Jogyesa TempleL: Jongno-gu, Seoul
Bongeunsa TempleL: gangnam-gu, Seoul

วัดในโชลลาบุค-โดและจังหวัดโชลลานัม-โด

วัดแนโซซา (Naesosa Temple)
ทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนจะนำไปสู่วัดโบราณแห่งนี้ซึ่งสร้างขึ้นในปี 633 มีหอใหญ่ที่งดงามวิจิตร ระฆังบรอนซ์ และสำเนาที่คัดลอกด้วยหมึกของสัทธรรมบุณฑริกสูตร (พระสูตรบนดอกบัวแห่งกฏอันอัศจรรย์)
เบอร์โทร: (063) 583-3455
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งระหว่างเมืองพูซานไปยังซาจา-ดอง หรือ วัดแนโซซา (ใช้เวลา 40 นาที)

วัดแททุนซา (Daedunsa Temple)
รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่าแทเฮืองซา (Daeheungsa) วัดนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นกองบัญชาการของนักพรตโซซาน (great priest Seosan) ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นำแห่งกองทหารอาสาสมัครสงฆ์ในการต่อสู้กับญี่ปุ่นในปี 1592 และมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพุทธศาสนาในช่วงปลายสมัยโชซอน
เบอร์โทร: (061) 534-5503
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถจากสถานีขนส่งระหว่างเมืองแฮนัม (Haenam Intercity Bus Terminal) ไปยังวัดแททุนซา (รถออกทุก 30 นาที ใช้เวลา 20 นาที)

วัดฮแวออมซา (Hwaeomsa Temple)
วัดฮแวออมซาตั้งอยู่ตอนกลางของที่ลาดภูเขาจิริซาน (Jirisan Mountains) ตามบันทึกประวัติศาสตร์วัดนี้สร้างขึ้นจริงจังราวศตวรรษที่ 8

ด้านหน้าอุโบสถหลักในบริเวณวัดคือเจดีย์สององค์เจดีย์ห้าชั้นด้านตะวันออกมีรูปทรงที่ดูเรียบๆขณะที่เจดีย์ด้านตะวันตกมีการสลักเสลาลวดลายมากกว่าและตั้งอยู่บนฐานที่ผูกหลั่นสองแห่ง อุโบสถหลักสูง 16 เมตรมีหลังคาคู่ได้รับมุมมองว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่งามสง่าที่สุดในเกาหลี
เบอร์โทร: (061) 782-7600
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถโดยสารจากสถานีขนส่งนัมวอน (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง)
หรือจากสถานีขนส่งกูร์เย (รถออกทุก 20 นาที ใช้เวลา 10 นาที)
หรือจากสถานีขนส่งระหว่างเมืองกวางชู (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที) ไปยังวัดฮแวออมซา

วัดซองกวางซา (Songgwangsa Temple)
กล่าวกันว่าพระรัตนตรัยในโลกแห่งพุทธศาสนาคือพระพุทธ พระธรรม หรือพุทธสัจจะ และพระสงฆ์ หรือการชุมนุมแห่งสงฆ์ ซึ่งสิ่งหลังสุดในพระไตรนี้ถูกแทนที่โดยวัด ซองกวางซาในซุนชอน, โชลลานัม-โด (Suncheon, Jeollanam-do)

มีชื่อเสียงในด้านสิ่งก่อสร้างที่เป็นไม้ วัดซองกวางซามีหอประมาณ 800 หอและศูนย์วิปัสสนานิกายเซนแห่งหนึ่งสำหรับพระจากต่างประเทศและสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมจำนวนมากรวมทั้งสมบัติแห่งชาติสามรายการ
เบอร์โทร: (061) 755-0107
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งโซลไปยังซุนชอน (ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 20 นาที) ที่สถานีขนส่งซุนชอนต่อด้วยรถซิตี้บัสหมายเลข 11 ไปยังวัดซองกวางซา (รถออกทุก 30-40 นาที ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที)

วัดในพูซานและจังหวัดเกียงซังนัม-โด

วัดเบียวเมียวซา (Beomeosa Temple)
มีบันทึกว่าวัดเบียวเมียวซาถูกก่อตั้งโดยท่านอุยซาง (Uisang) แห่งอาณาจักรซิลลาในปี 678 วัดมีชื่อเสียงในด้านประตูอิลจูมุน (Iljumun) (ประตูซึ่งมีเสาในแต่ละด้าน) ซาชอนวังมุน (Sacheonwangmun) (ประตูซึ่งอภิบาลโดยราชันแห่งเทพสี่องค์) และบูริมุน (Burimun) (ประตูแห่งการไม่เป็นคู่) ตรงทางขึ้นวัดมีไม้เลื้อยจำพวกวิสทีเรียที่จุดชมวิวซึ่งผู้มาเยือนสามารถชมภูมิประเทศของเมืองพูซานได้ในมุมกว้างซึ่งเหยียดยาวอยู่เบื้องล่าง
เบอร์โทร: (051) 508-3122/7
วิธีการเดินทาง: โดยรถประจำทางหมายเลข 90 ขึ้นที่สถานีรถไฟใต้ดินเบียวเมียวซา รถไฟใต้ดินพูซานสาย 1 (ใช้เวลา 5 นาที)

วัดแฮอินซา (Haeinsa Temple)
วัดนี้สร้างขึ้นในปี 802 เป็นที่เก็บของแม่พิมพ์ไม้ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ของตริปิทาก้า โคเรียน่า (Tripitaka Koreana) หรือ พระไตรปิฎกเกาหลี พระคัมภีร์ที่มีผู้รู้จักมากที่สุดในโลกซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกวัฒนธรรมโลกรวมทั้งสถาปัตยกรรมต่างๆอันสง่างามที่สร้างด้วยอิฐและไม้
เบอร์โทร: (055) 931-1001
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งระหว่างเมืองเซียวบูในแทกูตรงไปยังวัดแฮอินซา (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที รถออกทุก 20 นาที)

วัดซางเยซา (Ssanggyesa Temple)
วัดนี้เป็นที่ให้กำเนิดของศิลปการแสดงพิธีทางพุทธศาสนาเรียกว่าเบอมแป (Beompae) เบอมแปแต่งขึ้นจากการสวดมนต์ของพระสงฆ์ด้วยการตีกรับไม้และกลอง การระบำฉาบ การระบำผีเสื้อ และอื่นๆ
เบอร์โทร: (055) 883-1901
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งระหว่างเมืองฮาดอง, เกียงซังบุค-โด เข้าไปยังวัดซางเยซา (มีรถวิ่งวันละ 17 เที่ยว ใช้เวลา 40 นาที)

วัดตองโดซา (Tongdosa Temple)
ได้รับการจัดอันดับร่วมกับวัดแฮอินซาและวัดซองกวางซาว่าเป็นหนึ่งในสามวัดที่สง่างามที่สุดในเกาหลี วัดตองโดซาเป็นที่บูชาของพระธาตุที่สำคัญ กล่าวกันว่าท่านจาจาง (Jajang) แห่งอาณาจักรซิลลาเป็นผู้นำจีวรแห่งศากยมุนีและซาริรา (พระบรมสารีริกธาตุ) และพระไตรปิฎกสมัยถัง 400 เล่มจากราชวงศ์ถังของจีนมาเพื่อก่อตั้งวัดนี้ในปี 646 ดังนั้นวัดตองโดซาเป็นที่โดยเด่นโดยเฉพาะว่าเป็นที่เก็บพระไตรปิฎกฉบับแรกของเกาหลี หอไตรหลักซึ่งไม่เหมือนวัดอื่นๆที่เต็มไปด้วยตำราทางพุทธศาสนาเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ กุมกังเยดาน และถูกกำหนดให้เป็นสมบัติแห่งชาติหมายเลข 290 ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุแห่งองค์พระศากยมุนีอันศักดิ์สิทธิ์
เบอร์โทร: (055) 384-0030
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งพูซานดองบุ (Busan Dongbu Bus Termainal) ไปยังวัดตองโดซา (ออกทุก20 นาที ใช้เวลา 40 นาที)

วัดในแทกูและจังหวัดเกียงซังบุค-โด

วัดบองเชอองซา (Bongjeongsa Temple)
วัดบองเชอองซาในอันดอง, เกียงซังบุค-โดสร้างขึ้นโดยท่านเนือง-อิน (Neung-in) ผู้น่าเลื่อมใสในปี 672 ช่วงยุคอาณาจักรซิลลา โดยที่เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่เก่าที่สุดในเกาหลี หอเจืองนักชอน (Geungnakjeon Hall) ของวัด (หอสวรรค์) ยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณเฉพาะของเกาหลีไว้ได้ ผนังด้านในเพดานและเสาตกแต่งด้วยดันชอง (dancheong) - รูปแบบการลงสีสันบนไม้ วัดบองเชอองซายังมีคุณลักษณะเด่นมากมายรวมถึงหอหลัก ซึ่งเป็นสมบัติชาติหมายเลข 55 ซึ่งรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมยุคต้นราชวงศ์โชซอนไว้ (1392-1910)
เบอร์โทร: (054) 853-4181/4
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งดองโซลไปยังอันดอง (ใช้เวลา 4 ชั่วโมง) เดินเท้าต่อ 100 เมตรไปยังโรงเรียนประถมอันดองและขึ้นรถประจำทางหมายเลข 51 ไปยังวัดบองเชอองซา (ใช้เวลา 30 นาที)

วัดบุลกุกซา (Bulguksa Temple)
ตั้งอยู่บนเทือกเขาโตฮัมซาน (Mt. Tohamsan) วัดบุลกุกซารวมทั้งถ้ำซอกกุรามเป็นพินัยกรรมแห่งประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองของวัฒนธรรมแห่งพุทธศาสนาสมัยซิลลา

วัดถูกสร้างขึ้นในปี 528 และมีการก่อสร้างสิ่งต่างๆเพิ่มเติมขึ้นจนถึงปี 774 หลังจากนั้นก็ได้เบ่งบานเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมพุทธศาสนายุคซิลลา แต่เป็นที่น่าเศร้าว่าวัดถูกเผาจนแทบไม่เหลือซากในปี 1593 จากการรุกรานของญี่ปุ่น

สิ่งที่บูรณะสร้างหลังจากไฟไหม้คือหอแทอุงชอน (Daeungjeon Hall) และสถาปัตยกรรมอื่นๆอีกสองสามแห่ง-วัดถูกทอดทิ้งในช่วงปี 1969-1973 เมื่อมีความพยายามอย่างที่สุดในการค้นหาศิลปทางวัฒนธรรมอันหาค่าไม่ได้ในประวัติศาสตร์เกาหลี

ในปี 1995 วัดบุลกุกซาได้ถูกกำหนดโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลก
เบอร์โทร: (054) 746-9912
วิธีการเดินทาง: โดยรถประจำทางหมายเลข 10 หรือ 11 และลงที่ป้ายบุลกุกซา

วัดบูซอกซา (Buseoksa Temple)
วัดบูซอกซาสร้างขึ้นในปี 676 โดยบัญชาของพระเจ้ามุนมู (King Munmu) แห่งอาณาจักรซิลลาแสดงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงระหว่างวัดที่สร้างบนพื้นที่ราบช่วงยุคสามก๊กและวัดที่สร้างบนภูเขาในช่วงปลายยุคกอร์เยวและต้นโชซอน
เบอร์โทร: (054) 633-3464
วิธีการเดินทาง: โดยรถไฟจากสถานีรถไฟชองยังนีในกรุงโซลไปยังสถานีปุงกี( วันละ 6 เที่ยว ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที) และไปต่อรถซิตี้บัสไปยังวัดบูซอกซา (รถออกทุกชั่วโมง ใช้เวลา 40 นาที)

วัดดองฮวาซา (Donghwasa Temple)
สร้างขึ้นในปี 493 วัดแห่งนี้ได้อนุรักษ์สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตอันหลากหลายเจดีย์หินสามชั้นในปีกด้านตะวันออกและตะวันตกของวัดเป็นผังแบบวัดที่หาดูได้ยาก เสาโบราณคู่หินแห่งพระไวโรคัน (Vairocana Buddha) และภาพแกะสลักพระพุทธบนก้อนหินทำให้วัดนี้มีค่ายิ่ง
เบอร์โทร: (053 982-0101
วิธีการเดินทาง: จากสถานีดองแทกูเดินเท้าต่อประมาณ 5 นาทีไปยังสำนักงานโทรศัพท์ ซีนาม (Sinam) และจากที่นั่นขึ้นรถประจำทางหมายเลข 105 ไปยังวัดดองฮวาซา

วัดจิคิซา (Jikisa Temple)
จิคิซามีความหมายว่าการชี้นำโดยตรงเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเกาหลี สร้างอยู่ช่วงตีนเขาฮวาง-อัคซาน (Mt. Hwang-aksan) เดิมทีประกอบด้วยอาคารสี่สิบหลัง กล่าวกันว่าก่อตั้งขึ้นในปี 418 ในช่วงการปกครองของพระเจ้านุลจิโดยท่านอาโดซึ่งเป็นที่เคารพซึ่งเป็นท่านแรกที่นำพุทธศาสนาเข้ามาสู่อาณาจักรซิลลา (57 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 935) ที่ประตูใหญ่หลังประตูอิลจูมุนมีรูปราชันแห่งเทพขนาดใหญ่สี่รูปซึ่งคอยไล่วิญญาณชั่วร้าย
เบอร์โทร: (054) 436-6174
วิธีการเดินทาง: โดยรถประจำทางหมายเลข 11 หรือ 111 จากสถานีขนส่งกิมชอน (Gimcheon Bus Terminal) ไปยังวัดจิคิซา (รถออกทุก 20 นาที ใช้เวลา 25 นาที)

วัดในชุงชองบุค-โดและจังหวัดชุงชองนัม-โด

วัดเบออบชูซา (Beopjusa Temple)
ตั้งอยู่บนเขาซองนิซาน เบออบชูซาหมายถึงวัดรักษาธรรมเชื่อว่าสร้างขึ้นในปี 553 การอ้างอิงในเอกสารต่างๆบันทึกว่าวัดนี้ได้เป็นที่จำพรรษาของพระถึง 3,000 องค์ เจดีย์ห้าชั้นถูกสร้างขึ้นในปี 553 เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเกาหลี
เบอร์โทร: (043) 543-3615
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งดองโซลไปยังภูเขาซองนิซาน (Songnisan Mountains) (บริการวิ่งวันละ 10เที่ยว ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 40 นาที)

วัดมาโกกซา (Magoksa Temple)
รูปร่างของภูเขาและการไหลของสายน้ำในบริเวณวัดมาโกกซาเป็นลักษณะของสัญลักษณ์ แทจุค (Taegeuk)

(หยินหยาง) ในตำราเก่าๆเช่นแตงยีจี (Taegniji) และชองกัมนอก (Jeonggamnok) วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเสมือนเป็นสถานที่แสวงหาความสงบจากความขัดแย้งในสงคราม-รูปร่างของภูเขาและฤดูใบไม้ผลิอันสวยงามเป็นที่สำราญยิ่ง
บริเวณวัดมีมรดกของชาวพุทธมากมาย เป็นที่กล่าวกันว่านักพรตชาชางแห่งยุคซิลลาเป็นผู้ที่สร้างวัดนี้ขึ้น (ค.ศ. 640) ที่นี่เป็นที่อนุรักษ์สัทธรรม บุณฑริก สูตร (Saddhama Pundarika Sutra (สูตรบนดอกบัวแห่งกฏอันอัศจรรย์) เขียนขึ้นเป็นอักษรเงินบนกระดาษสีคราม
เบอร์โทร: (041) 841-6221
วิธีการเดินทาง: จากกองจู (Gongju), ชุงชองนัม-โด, โดยรถโดยสารระหว่างเมืองไปยังวัดมาโกกซา (รถออกทุก 40-50 นาที ใช้เวลา 40 นาที) ลงรถที่ป้ายสุดท้าย

วัดในจังหวัดคังวอน-โด

วัดกูร์ยองซา (Guryongsa Temple)
แรกเริ่มสร้างขึ้นในปี 668 ในช่วงอาณาจักรซิลลา (57 ปีก่อน ค.ศ. -ค.ศ. 935) มีการก่อสร้างใหม่ในช่วงการปกครองของพระเจ้าซุคชอง (Sukjong) ในราชวงศ์โชซอน (1675-1750)

พระสงฆ์จำนวนมากและศาสนิกชนได้รับการสั่งสอนจากวัดแห่งหนึ่งซึ่งแยกตัวสันโดษอยู่บนเขาจีอัคซาน (Chiaksan Mountains)
เบอร์โทร: (033) 732-4800
วิธีการเดินทาง: จากสถานีรถโดยสารระหว่างเมืองโซลซังบอง (Seoul Sangbong Intercity Bus Terminal)มีรถสายตรงไปยังวัดกูรย์ยองซาวิ่งวันละ 4 เที่ยว (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที)

วัดนักซันซา (Naksansa Temple)
วัดอันสง่างามแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดผาสูงชันเหนือท้องทะเลที่เกลียวคลื่นม้วนตัวกระทบหน้าผาเบื้องล่าง
ด้วยสภาพแวดล้อมที่สวยงามทำให้วัดนี้มีผู้มาเยือนถี่ที่สุดในแถบชายฝั่งด้านตะวันออก
เบอร์โทร: (033) 672-2448
วิธีการเดินทาง: ไปจากยางยาง (Yangyang) หรือซกโช (Sokcho), กังวอน-โด มีรถประจำทางเข้านักซันวิ่งทุกๆ 10 นาที

วัดโวลชองซา (Woljeongsa Temple)
ท่านชาชาง (Jajang) ผู้น่าเลื่อมใสในยุคซิลลาได้สร้างวัดโวลชองซาแห่งนี้ (ค.ศ. 643) วัดแห่งดวงจันทร์อันเงียบสงบบนยอดเขาโอแทซานในทิวเขาแตแบกซานโอแทซานประกอบด้วยที่ราบสูงห้าแห่งหรือยอดเขาที่ซึ่งเป็นที่กล่าวว่าเป็นที่สถิตย์ของพระโพธิสัตว์

ที่บริเวณวัดมีเจดีย์แปดเหลี่ยมเก้าชั้นสูง 15.2 เมตรอันเป็นเจดีย์ลักษณะหลายชั้นหลายมุมซึ่งเป็นศิลปยุคกอร์เยว (918-1392)
เบอร์โทร: (033) 332-6664/5
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งดองโซลไปยังสถานีรถโดยสารระหว่างเมืองชินบุ (ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที) และต่อรถโดยสารซิตี้บัสไปโวลชองซา (ใช้เวลา 20 นาที)

วัดในอินชอนและจังหวัดเกียงจี-โด

วัดชองเดืองซา (Jeondeungsa Temple)
นาม "วัดแห่งแสงตะเกียงบนแท่นบูชา" ได้รับจากช่วงเวลาที่มเหสีวอนของพระเจ้าชุงเยโอล (Chungnyeol)
(1274-1308)ทรงถวายตะเกียงบนแท่นบูชาพระพุทธรูป ลวดลายวิจิตรอันเต็มไปด้วยสีสัยที่ตกแต่งร้อยเรียงบนเพดานและเสาและแท่นบูชาที่ตกแต่งอย่างปราณีตในโถงหลักนั้นงดงามมาก
เบอร์โทร: (032) 937-0125
Url: http://www.jeondeungsa.org/
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถประจำทางจากสถานีขนส่งซินชอน (Sinchon Bus Terminal) ไปยังวัดชองเดืองซา (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที) หรือโดยรถโดยสารจากสถานีขน ส่งยองทึงโป (Yeongdeungpo Bus Terminal) ไปยังกังฮวา (Ganghwa) (ใช้ เวลา 2 ชั่วโมง)

วัดซิลลักซา (Silleuksa Temple)
เป็นที่รู้จักกันว่าสร้างขึ้นในยุคซิลลา (57 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 935) แม้ว่าจะมีการก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้งกระทั่งปลายยุคโชซอน ได้มีการสร้างอารามเพิ่มเติมขึ้นหลายแห่งและสิ่งก่อสร้างต่างๆโดยใช้อิฐรวมทั้งเจดีย์หลายชั้นที่สร้างด้วยหินและอิฐบนฐานรากหลายๆชั้นและสถูปซาริรา (sarira stupas)
เบอร์โทร: (031) 885-2505
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งโซลหรือดองโซลไปยังเยวชู (Yeoju) (รถออกทุกๆ 30-40 นาที ใช้เวลาเดินทาง1 ชั่วโมง 10 นาที) และขึ้นรถโดยสารเข้า เมืองด้านหน้าของสถานีขนส่งเยวชูไปยังวัดซิลลักซา (รถออกทุกๆ 1 ชั่วโมง ใช้เวลา เดินทาง 10 นาที)

วัดเวาชองซา (Waujeongsa Temple)
วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 โดยสังฆราชแฮเยอุน (Patriach Haegeun) และอุทิศให้แก่การเจริญรอยของการตรัสรู้และเหล่านักสวดสวดเพื่อการรวมของประเทศ เป็นที่เก็บของพระพุทธรูป 3,000 องค์สะสมจากประเทศที่นับถือพุทธศาสนาหลายประเทศที่มีชื่อเสียงในจำนวนเหล่านี้คือพระเศียรของพระพุทธรูปทำด้วยไม้สูง 8 เมตรและพระนอนสูง 3 เมตรยาว 12 เมตร
เบอร์โทร: (031) 332-2472
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งดองโซลหรือนัมบุในกรุงโซลไปยังสถานีขนส่งยองอิน (Yong-in Bus Terminal) (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 10 นาที) และต่อด้วยรถโดยสารท้องถิ่นไปวอนซัม (Wonsam) หรือแบกนัม (Baegnam) และลงที่วัดเวาชองซา

วัดในกรุงโซล

วัดบองอุนซา (Bongeunsa Temple)
เดิมทีสร้างในปี 794 ช่วงยุคอาณาจักรซิลลา (Silla Kingdom) วัดได้มีการสร้างขึ้นใหม่หลังจากถูกไฟไหม้ในปี 1939

ที่วัดนี้เป็นที่เก็บของแม่พิมพ์ไม้ 13 แบบจำนวน 3,479 พิมพ์ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ของตำราทางศาสนาพุทธรวมทั้งฮวายอมเกียง (Hwaeomgyeong) และจุมกังเกียง (Geumganggyeong) ในทุกๆวันที่ 9 กันยายนของปฏิทินทางจันทรคติ พิธีการทางศาสนาเรียกว่า "ชองแทบุลซา" ("Jeongdaebulsa") จะถูกจัดขึ้นซึ่งแม่พิมพ์ต่างๆจะถูกเทินอยู่บนศีรษะของพระสงฆ์ระหว่างขั้นตอนการดำเนินพิธี
เบอร์โทร: (02) 434-1448
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถไฟใต้ดินโซลสาย 2 ไปลงที่สถานีซัมซอง (Samsong Station) และเดินต่อไปอีก 10 นาที
วัดจอกเยซา (Jogyesa Temple)
สร้างขึ้นในปี 1910 วันจอกเยซาได้กลายเป็นวัดหลักแห่งศานาพุทธนิกายจอเย (Jogye Order) ของเกาหลีในปี 1936 และเป็นศูนย์กลางแห่งพิธีการทางพุทธศาสนาที่สำคัญสำหรับสงฆ์ในนิกายและผู้นับถือ

เบอร์โทร: (02) 732-5292
Url: http://www.jogyesa.or.kr/
วิธีการเดินทาง: เดินเท้าเป็นเวลา 5 นาทีจากทางออก 2 สถานีจองกักโดยรถไฟใต้ดินสาย 1

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฮวาซอง-ป้อมปราการอันสง่างาม (Hwaseong, the Brilliant Fortress)

ฮวาซองเป็นป้อมปราการอันสง่างามที่ซูวอนจังหวัดเกียงจิ-โด (Gyeonggi-do) ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ปั้นจั่นเป็นครั้งแรกและการวิศวกรรมโยธาอันทันสมัยที่สุดในศตวรรษที่ 18 การก่อสร้างได้รับการวางแผนโดยกษัตริย์ชองโช (King Jeongjo) กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอนเมื่อคราวที่พระองค์ได้ย้ายพระศพของพระบิดาจากยังซูไปยังเขาฮวาซานในปี 1789

ตัวป้อมปราการทอดยาวไปตามที่ราบและไหล่เขาซึ่งน้อยนักที่จะได้เห็นป้อมลักษณะนี้ในประเทศข้างเคียงอย่างญี่ปุ่นและจีน ป้อมนี้ได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ในด้านการเมือง การค้าและการทหาร โดยได้รับอิทธิพลมาจากซิลฮัก (silhak) หรือ "การเรียนรู้ในเชิงปฏิบัติ"




ฮวาซอง-ป้อมปราการอันสง่างาม(Hwaseong, the Brilliant Fortress)
  
เบอร์โทร: (031) 228-2716
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารจากสถานีขนส่งซูวอน (Suwon Bus Terminal) หรือสถานีซูวอน (Suwon Station) (ใช้เวลา 20 นาที)



ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ในสมัยนั้น ตัวป้อมได้รับการก่อสร้างโดยวิทยาการชั้นสูงและด้วยอุปกรณ์ก่อสร้างที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โครงสร้างถูกทำให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นโดยการผสมผสานเข้ากันของหิน อิฐ และไม้ ซึ่งรวมถึงระบบระบายน้ำ เชิงเทิน ช่องยิงปืนบนกำแพง และหอรบต่างๆ ตัวป้อมทอดยาวโอบล้อมตอนล่างของเมืองซูวอนเป็นวงรูปไข่มหึมากินความยาววัดได้ถึง 5.52 กิโลเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก 41 แห่งภายในวงรูปไข่นั้น โครงสร้างของป้อมในแต่ละแห่งผสมผสานให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมที่อลังการในเชิงยุทธศาสตร์ได้เป็นอย่างดี


ฮวาซอง-ป้อมปราการอันสง่างาม(Hwaseong, the Brilliant Fortress)


วัดบุลกุกซาและคูหาซอกกูรัม (Bulguksa Temple and Seokguram Grotto)



บุลกุกซาเป็นวิหารแห่งดินแดนพระพุทธศาสนาตั้งอยู่กลางพื้นที่ลาดของภูเขาโตฮัมซานในเมืองเกียงชูจังหวัดเกียวซังบุค-โด

เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลกษัตริย์เกียงด็อกแห่งอาณาจักรซิลลาและเสร็จสมบูรณ์ในปี 774 โดยการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีคิม แท -ซอง (Prime Minister Kim Dae-seong)

วัดบุลกุกซารวมเอาประกายแห่งสถาปัตยกรรมชั้นครูและศาสตร์แห่งอาณาจักรซิลลาในศตวรรษที่ 8 ในบรรดาสถาปัตยกรรมชิ้นเอกต่างๆนั้น โซกกาตับ (Seokgatap) และทาโบตับ (Dabotap) เป็นที่เด่นสะดุดตาที่สุดเพื่อเป็นการอุทิศให้แก่องค์พระศากยมุนีและพระ พุทธรัตนะ (พระพุทธแห่งศฤงคารอันเหลือล้น) เจดีย์ 2 องค์นี้เป็นตัวแทนของพระพุทธซึ่งสถิตย์อยู่ในวิหารเป็นอุทาหรณ์แห่งวัตถุประสงค์ของชาวซิลลาในอันที่จะรวบรวมความเป็นเลิศของพุทธศาสนาไว้ในโลกา

 
เบอร์โทร: (054) 746-9912
วิธีการเดินทาง: โดยรถประจำทางหมายเลข 10 บริเวณหน้าสถานีขนส่งเกียงชู (Gyeongju Bus Terminal) แล้งลงที่ป้ายวัดบุลกุกซา (Bulguksa Bus Stop)


วัดบุลกุกซาและคูหาซอกกูรัม (Bulguksa Temple and Seokguram Grotto)



คูหาซอกกูรัมซ่อนตัวอยู่ในเนินลาดทางทิสตะวันออกของยอดเขาโตฮัมซานเป็นกุฏิอันศักดิ์สิทธิ์ของวัดบุลกุกซาสร้างขึ้นโดยคิมแท-ซอง กุฏิหินแกรนิตเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาในพระศาสนา วิชาการด้านสถาปัตยกรรมรังสรรค์ด้วยฝีมืออันหมดจดของชาวซิลลา



วัดบุลกุกซาและคูหาซอกกูรัม (Bulguksa Temple and Seokguram Grotto)



คูหาซอกกูรัมประกอบด้วยห้องพักคอยซึ่งมีรูปแกะสลักนูนของ 8 เทพผู้พิทักษ์ และวัชรภานี (Vajrapani) 2 องค์ ตามทางเดินสั้นๆนั้น มีสลักเสลารูปเทวกษัตริย์ 4 พระองค์ประดับไว้และศาลาทรงกลมตอนกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานพระศากยมุนีทัธคัตกตา (Shakyamuni Tathagata) (องค์อวตารแห่งความเป็นจริง) ตามส่วนล่างของกำแพงรูปวงกลมมีรูปแกะสลักนูนขององค์พระอวโลกิเตศวร สาวกทั้งสิบ มันชุศรี (Manjusri) สักการะเทวนัม (Sakradevanam) อินทรา (Indra) มหาพราหมณ์ (Mahabrahmandah) และสามันตะภัทร (Samantabhadra) ที่อยู่สูงขึ้นไปประมาณระดับสายตามีช่องเจาะกำแพงไว้ 10 ช่อง แต่ละช่องเป็นที่ตั้งบูชาพระโพธิสัตว์



วัดบุลกุกซาและคูหาซอกกูรัม (Bulguksa Temple and Seokguram Grotto)



องค์พระประธานประดิษฐานอยู่ใต้หลังคาโค้งมีพระโอษฐ์ยิ้มด้วยพระเมตตาอย่างเยือกเย็น ทำให้เห็นถึงความเป็นเลิศของมนุษย์ที่จะถ่ายทอดผ่านทางการแกะสลักหินเป็นเสมือนหนึ่งพระพุทธเจ้ากำลังทรงเทศนาอยู่ในทุกขณะ ทรงสั่งสอนเกี่ยวกับความดีของมนุษย์ที่ติดตัวมาด้วยสันดาน

อารามหลวงจองเมียว (Jongmyo Royal Shrine)


อารามหลวงจองเมียวสร้างขึ้นเพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ดวงพระวิญญาณแห่งบูรพกษัตริย์ของราชวงศ์โชซอน ณ ที่นี้กษัตริย์ และบรรดาพระราชวงศานุวงศ์จะมาทำการสักการะแด่บรรพบุรุษตามแบบลัทธิขงจื๊อ

อารามอันสง่างามแห่งนี้ซึ่งเป็นผลงานของสถาปัตยกรรมที่สวยงามอย่างเรียบง่ายนี้ได้รับความเห็นชอบให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันหาค่ามิได้และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโยองค์การยูเนสโกในปี 1995

อารามหลวงจองเมียวกอปรด้วยอารามชองเชิน (Jeongjeon) อันเป็นอารามหลัก อารามยองเนียงเชิน (Yeongnyeongjoen) อันเป็นอารามประกอบและสิ่งก่อสร้างประกอบอื่นๆ ชองเชินอันมีระเบียบล้อมรอบได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอาคารที่ยาวที่สุดในเอเชีย มีแท่นบูชาพร้อมป้ายสถิตย์วิญญาณเพื่อระลึกถึงพระบารมีของกษัตริย์และพระราชินี ซึ่งปัจจุบันมีป้ายของกษัตริย์จำนวน 19 ป้าย และราชินี 30 ป้าย ยองเนียงเชินอันมีห้องจำนวน 16 ห้องนั้นเป็นที่ประดิษฐานป้ายสถิตวิญญาณของวงศานุวงศ์ชั้นรองจำนวน 15 ป้ายและพระราชินีกับพระสวามีอีก 17 ป้าย

อารามหลวงจองเมียว (Jongmyo Royal Shrine)





อารามหลวงจองเมียว (Jongmyo Royal Shrine)
จองเมียวสร้างขึ้นในปี 1394 โดยราชวงศ์โชซอนได้ย้ายเมืองหลวงจากแจซอง (Gaeseong) มายังฮานยาง (Hanyang) (กรุงโซลในปัจจุบัน) แต่ถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลองในช่วงที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นรุกรานในปี 1592 ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1604 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1608


 

อารามหลวงจองเมียว (Jongmyo Royal Shrine)




พิธีกรรมการบูชาบรรพบุรุษ

ชองเมียว เจเร ในยุคสมัยโชซอนได้ถือลัทธิขงจื๊อในการปกครองประชาชน ไม่นานหลังการก่อตั้งราชวงศ์ได้ก่อตั้งซึงเคียนควาน หรือสถาบันขงจื๊อแห่งชาติและสถาบันในบริวารฮยางเกียว ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดอารามขงจื๊อ การศึกษาตามแบบขงจื๊อเกี่ยวกับจริยธรรมในครอบครัวและสังคม และมุ่งหวังให้มีการเคารพต่อบรรพบุรุษ

ลัทธิขงจื๊อมีความนิยมมากขึ้นในช่วงกลางของสมัยโชซอนเมื่อโรงเรียนเอกชนเรียกว่า “โซวอน” ได้จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ เพื่อสอนจริยธรรมแบบขงจื๊อสำหรับชนรุ่นหลัง โรงเรียนแห่งแรกคือ แบกุนดองโซวอน ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2085 ยุคโชซอนอาจถูกบรรยายได้ว่าเป็นสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของลัทธิขงจื๊อปรัชญาซึ่งได้แผ่ซ่านซึมเข้าไปในสามัญสำนึกของชาวเกาหลี ในบรรดา รูปแบบต่างๆ ของมรดกในลัทธิขงจื๊อที่สามารถพบได้ในวันนี้ คือพิธีการต่างๆ เช่น ชองเมียว เจเร พิธีบูชาบรรพบุรุษแห่งชาติกระทำที่อารามหลวงชองเมียว ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2538 และซอกจอน แทเจ



พิธีตามแบบขงจื๊อที่สถาบันขงจื๊อซึงเคียนควาน ชาวเกาหลีจำนวนมากยังได้ไปเคารพบรรพบุรุษที่ล่วงลับในสุสานทุกปีที่ชูซก เทศกาลการเก็บเกี่ยวเพื่อสักการะบูชาบรรพบุรุษด้วยการเซ่นไหว้ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม การประกอบพิธีจะมีการแสดงดนตรี “ชองเมียว เจรัก” ประเภทเป่าและสาย ประพันธ์โดยกษัตริย์โซชอง และปรับแก้โดย กษัติรย์เซโจ ความจริงใจและหรูหราในเสียงดนตรี บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของเกาหลี

บทเพลงสรรเสริญชัยชนะของปวงชนในรัชสมัยโชชอน เป็นการแสดงดนตรีในราชสำนักที่เก่าแก่ราวศตวรรษที่ 15 ณ บูชาสถานหลวงจงเมียว จงจอน ในกรุงโซล จะมีการจัดงานราชพิธีโบราณอันยิ่งใหญ่ ที่สืบทอดมานับร้อยๆ ที่เรียกว่า “จองเมียว แดเจ” อันเป็นพิธีบูชาบูรพกษัตริย์ และราชวงศ์ แห่งอาณาจักร โชซอน ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของเกาหลี (พ.ศ.1935 - 2453)

พิธีนี้ได้มีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน กว่า 600 ปี และยังได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี โทร. 0-2354-2080-2
เบอร์โทร: (02) 765-0195
วิธีการเดินทาง: โดยรถไฟใต้ดินโซลสาย 3 ลงที่สถานีจองโน 3 (ซัม)-กา (Jongno 3 (sam)-ga Station) และเดินต่อปีอีก 10 นาที


ขอบคุณข้อมูลจาก




 

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระราชวังชางด๊อกกุง Changdeokgung Palace

พระราชวังชางด๊อกกุง

หรือ พระราชวังชางด๊อก หนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดในสาธารณรัฐเกาหลี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โชซอน เมื่อปี พ.ศ. 1948 (ค.ศ. 1405) แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1955 (ค.ศ. 1412) ด้วยเหตุที่พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังเคียงบก (Kyeongbok Palace) ผู้คนจึงเรียกพระราชวังแห่งนี้ว่าพระราชวังตะวันออก (East Palace) ซึ่งต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าซอนโจ กษัตริย์องค์ที่ 14 แห่งโชซอนได้โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหญ้าของพระราชวังเป็น 500,000 ตารางเมตร
ในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) ขุนศึกญี่ปุ่น โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิได้เข้ารุกรานเกาหลี กินเวลายาวนานถึง 7 ปี พร้อมกับเผาทำลายพระราชวัง ซึ่งในปีนี้เองเป็นปีที่ฉลองครบรอบ 200 ปีแห่งการสถาปนาราชวงศ์ โดยหลังจากผ่านสงคราม 7 ปีไปแล้ว พระราชวังก็ได้รับการบูรณะขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2152 (ค.ศ. 1619) โดยพระเจ้าซอนโจ และองค์ชายควางแฮกุน แต่อีก 4 ปีต่อมา พระราชวังกลับเกิดเพลิงเผาวอดอีกครั้งในเหตุจราจลที่ขุนนางไม่พอใจองค์ชายควางแฮและก่อการยึดอำนาจ สถาปนาองค์ชายนึงยางขึ้นเป็นพระเจ้าอินโจ พร้อมกับเนรเทศองค์ชายควางแฮไปเกาะคังฮวา จนพระราชวังถูกโจมตีอีกครั้งจากจักรวรรดิชิง (ประเทศจีน) แต่หลังจากนั้นพระราชวังก็ได้รับการสร้างใหม่ให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม
พระราชวังชางด๊อกกุง ได้ถูกใช้เป็นที่ประทับขององค์กษัตริย์ ที่ว่าราชการ และที่ทำงานของขุนนางจนถึงปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) เมื่อพระราชวังเคียงบกซึ่งอยู่ข้างเคียงได้รับการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยสมเด็จพระจักรพรรดิซุนจง (จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิเกาหลี) แต่อย่างไรก็ตามสมเด็จพระจักรพรรดิซุนจงนี้ก็ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังชางด๊อกกุงเรื่อยมากระทั่งเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926)

 
พิพิธภัณฑ์ในพระราชวังชางด๊อกกุง
พิพิธภัณฑ์ในพระราชวังชางด๊อกกุง
ชื่อในภาษาต่างๆ
อังกฤษChangdeokgung Palace Complex
ฝรั่งเศสEnsemble du palais de Changdeokgung
เกาหลี
ญี่ปุ่น
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้งกรุงโซล Flag of เกาหลีใต้ เกาหลีใต้
ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียนพ.ศ. 2540
(คณะกรรมการชุดที่ 21)
เกณฑ์พิจารณา(ii) (iii) (iv)
ลิงก์http://whc.unesco.org/en/list/816
*ชื่อตามที่ได้จดทะเบียนในบัญชีมรดกโลก


อย่างไรก็ตาม บรรดาสมาชิกราชวงศ์ลี (ราชวงศ์จักรพรรดิเกาหลี) ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันซึ่งยังไม่มีสถานะเป็นประมุแห่งรัฐอย่างเป็นทางการนั้น หากในอนาคตสถาบันจักรพรรดิเกาหลีถูกฟื้นขึ้นในฐานะสัญลักษณ์แห่งรัฐ (ระบอบประชาธิปไตยอันมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นประมุข) พระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ใช้ในการประกอบพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อการขึ้นเสวยราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิ

สิ่งก่อสร้างในพระราชวัง
สิ่งก่อสร้างในพระราชวังชางด๊อกกุงมีดังนี้
  • ประตูดงฮวามุน-ประตูหลักของพระราชวังถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1955 เป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังอยู่จนทุกวันนี้
  • สะพานกึมชองโย-เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโซลที่ยังยืนหยัดจนทุกวันนี้ก่อสร้างในปี พ.ศ. 1954
  • พิพิธภัณฑ์-เดิมเป็นท้องพระโรงถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1948 สร้างขึ้นใหม่ในปี 1804 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์
  • หอซอนจองจอน-เป็นห้องทำงานของขุนนางฝ่ายปกครองสร้างในปี 1461 ถูกทำลายในสงครามอิมจินบูรณะปี พ.ศ. 2190
  • ศาลาจูฮัมนู (คยูจังกัก) - หอจดหมายเหตุและหอแสดงภาพวาดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2319
  • ฯลฯ

มรดกโลก
พระราชวังชางด๊อกกุงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 21 เมื่อปี พ.ศ. 2540 ที่เนเปิลส์ ประเทศอิตาลี โดยผ่านข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก ดังนี้
  • (ii) - เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
  • (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
  • (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

พระราชวังชางเกียงกุง


ไฟล์:Changgyeonggung1.jpg
พระราชวังชางเกียงกุง
 พระราชวังชางเกียงกุง หรือ พระราชวังชางเกียง หนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดใน เกาหลี ตั้งอยู่ในกรุง โซล ประเทศ เกาหลีใต้ เดิมเป็น พระราชวังฤดูร้อน ของกษัตริย์ ราชวงศ์โครยอ กระทั่ง พระเจ้าเซจงมหาราช มีดำริที่จะสร้างพระราชวังถวายแก่พระราชบิดาคือ พระเจ้าแทจง แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2026 ในรัชสมัย พระเจ้าซองจง ทรงโปรดให้บูรณะซ่อมแซมและขยายอาณาเขตของพระราชวัง และในปี พ.ศ. 2295 ได้มีกษัตริย์องค์หนึ่งประสูติ ณ พระราชวังแห่งนี้คือ พระเจ้าจองโจ หรือ องค์ชายลีซาน และระหว่างยุคล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น พวกญี่ปุ่นได้สร้างสวนสัตว์ สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ไว้ที่นี่ จนในปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) ได้มีการย้ายสวนสัตว์และสวนสาธารณะออกไปเหลือแค่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น

สิ่งก่อสร้าง
ค.ศ. 1616 (พ.ศ. 2159) ระหว่างรัชสมัยของ องค์ชายควางแฮกุน

ไฟล์:Sungmundang (corridor), Changgyeonggung - Seoul, Korea.jpg
พระราชวังชางเกียงกุงบริเวณทางเดิน

ไฟล์:Pagoda, Changgyeonggung - Seoul, Korea.jpg
ปาโกดา

ไฟล์:Changgyeonggung.gate.01.jpg
พระราชวังชางเกียงกุงบิเวณประตู


ไฟล์:Changgyeonggung3.jpg
พระราชวังชางเกียงกุงฉากหลังคือกรุงโซล


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระราชวังถ็อกซูกุ

Click here to see a large version
พระราชวังถ็องซูกุ
พระราชวังถ็อกซูกุ
ตรงข้ามกับศาลากลางกรุงโซล คือพระราชวังถ็อกซูกุง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าพระราชวังของราชวงศ์โชซอน (1392-1910) พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของเจ้าชายวอลซาน (1454-1488) ซึ่งเป็นพี่ชายของกษัตริย์ซองจอง แต่ในยุคสมัยของกษัตริย์องค์ต่อมาได้ใช้เป็นพระราชวังหลัก โดยเฉพาะในยุคของกษัตริย์โกจอง ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ก่อนสุดท้ายของราชวงศ์โชซอน ทรงประทับที่พระราชวังนี้ แม้แต่หลังจากที่ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติโดยญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1907 พระองค์ทรงประทับอยู่ที่พระราชวังนี้จนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1919

กษัตริย์ซุนจองซึ่งเป็นโอรสและเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายได้พระราชทานชื่อพระราชวังนี้ซึ่งเรียกในปัจจุบันว่า ถ็อกซูกุง (ซึ่งแปลว่า พระราชวังแห่งอายุยืนยาวและมั่นคง) ด้วยความหวังว่าพระราชบิดาจะทรงพระชนม์ยืนยาวที่นี่

หากเลี้ยวออกไปทางด้านใต้ของพระราชวังจากถนนที่เต็มไปด้วยต้นไม้นี้ เราจะพบโบสถ์ของเมโทดิสต์ชื่อชุงดอง ซึ่งมีชื่อเสียงมาเป็นเวลาช้านาน และฝั่งตรงข้ามก็คือโรงละครชองดง ซึ่งมีการแสดงตลอดปี ใกล้พระราชวังจะพบจุดที่คนนิยมไปชมกันมากนั่นคือ พระราชวังเคียงฮุยกุง หอศิลป์โชซอนอิลโบ หอประชุมมุนฮวาอิลโบ โบสถ์แองกลิกันเก่าแก่ ที่ตั้งหน่วยทหารเดิมชาวรัสเซีย พิพิธภัณฑ์การเกษตร โรงละครนันทาและอื่น ๆ อีกมาก

เมื่อเดินมาสู่ประตูซุงเนมุน  (ซึ่งรู้จักกันทั่วไป ว่านัมแดมุน หรือประตูใต้)  จากประตูใหญ่ถ็อกซูกุง เราจะมาถึงย่านซัมซุงพลาซ่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอศิลปะโรแดงและศูนย์การค้า ส่วนอีกด้านหนึ่งของประตูซุงเนมุน คือตลาดนัมแดมุน ซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายส่งและขายปลีกนับร้อยร้าน และเป็นที่พึงพอใจที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ

พระราชวังถ็อกล็อกซูกุงบริเวณพระราชวังถ็อกล็อกซูกุงจะมีสิ่งก่อสร้างที่น่าชมเป็นอันมาก เช่น ประตูหลักแทฮันมุน พระที่นั่งชุงวาจอนและท้องพระโรง และซกโชจอนอันเป็นสิ่งก่อสร้างแนวตะวันตกแห่งเดียวในบรรดาพระราชวังต่าง ๆ ในเกาหลี ซกโชจอนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์หลวง ซึ่งเป็นที่เก็บสิ่งของที่ใช้ในพระราชวังในสมัยราชวงศ์โชซอน นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะถ็อกซูกุง ซึ่งแสดงผลงานทางศิลปะสมัยใหม่มากมาย
เบอร์โทร: 02-771-9951
วิธีการเดินทาง: จากสถานีซิตี้ฮอล ทางออกที่ 2, สาย 1 หรือสาย 2
เวลาให้บริการ: เวลา 09.00 น. – 18.00 น. (09.00 น. – 17.00 น. ระหว่างเดือน พ.ย. – ธ.ค.)
วันให้บริการ: วันจันทร์
ราคาค่าบริการ: 1,000 วอน

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระราชวังเคียงบ๊อก


พระราชวังเคียงบ๊อก

พระราชวังเคียงบ๊อก

พิพิธภัณท์พื้นบ้านพระราชวังเคียงบ๊อกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1394 สมัยราชวงศ์โซซอน เป็นศูนย์ บัญชาการและที่ประทับของกษัตริย์เมื่อสมัย600ปีก่อนเยี่ยมชมท้องพระโรงพลับพลากลางน้ำ ภายในพระราชวังมี พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่จำลองชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของชนชาติเกาหลีในอดีต ตลอดจนผ่านชม ทำเนียบและบ้านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
สุดปลายทางด้านเหนือของ ถนนเซจองโน เราจะเห็น พระราชวังเคียงบกคุง ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า นี่คือ พระราชวังเคียงบกคุง ที่เก่าแก่ที่สุดของราชวงศ์โซซอน ซึ่งคุณจะได้ซึมซับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวเกาหลีอย่างลึกซึ้ง ในบริเวณพระราชวังนี้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลี และ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ ณ ที่สองแห่งนี้นักท่องเที่ยวจะได้เที่ยวชมลักษณะเด่น ๆ ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเกาหลี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น พระที่นั่งคึนจองจอน ศาลาเคียงฮวยรู ซึ่งตั้งอยู่กลางสระ ศาลายางวอนจอง หรืออาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นหลายอาคาร ล่วนแล้วแต่แสดงถึงสถาปัตยกรรมอันงดงามและแวดล้อมด้วยทัศนียภาพเขียวขจีของสวนอันน่าอภิรมย์
ประตูจอนชุมมุน เเป็นประตูด้านตะวันออกของพระราชวัง จะเปิดออกสู่ ถนนซัมจองดองกิล ที่มีร้านขาย ฮันบก (ชุดประจำชาติ) และหอแสดงศิลปะหลายแห่ง ทางด้านเหนือสุดของถนนซัมจองดองกิล ซึ่งยาวออกไป 1 กม. ผ่านด้านหน้าของทำเนียบ ชองวาแด อันครึ้มไปด้วนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งแผ่กิ่งก้านมาบรรจบกันตรงกลางถนนและมีสวนหย่อมตกแต่งงดงามอยู่ข้างทางหลายแห่ง จึงเป็นที่ที่จะเดินเล่นได้อย่างสบายอารมณ์ พอไปถึงปลายถนนเราก็จะเห็นสวน โรสออฟเชรอน และหอประชุมชุมชน เฮียวจาดองซารางบาง ซึ่งแสดงของกำนัลต่าง ๆ ที่ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ ของเกาหลีได้รับและประวัติโดยละเอียดของกรุงโซล
ประวัติของพระราชวัง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1394 เพื่อเป็นพระราชวังหลักของราชวงค์โชซอน อันเป็นราชวงศ์ที่สถาปนาขึ้นโดยกษัตริย์ แทโจ ในจำนวนพระราชวังทั้ง 5 ที่สร้างขึ้นในราชวงศ์นี้ พระราชวังเคียงบกคุง ถือเป็นพระราชวังที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด

ที่ตั้งอยู่ในกรุงโซล
พระราชวังเคียงบกกุง
สุดปลายทางด้านเหนือของถนนเซจองโน เราจะเห็นพระราชวังเคียงบกกุงตั้งโดดเด่นเป็นสง่า นี่คือพระราชวังเก่าแก่ที่สุดของราชวงศ์โชซอน ในบริเวณพระราชวังนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลีและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ ณ ที่สองแห่งนี้นักท่องเที่ยวจะได้เที่ยวชมลักษณะเด่น ๆ ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเกาหลีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นพระที่นั่งคึนจองจอน ศาลาเคียงฮวยรูซึ่งตั้งอยู่กลางสระ ศาลายางวอนจอง หรืออาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นหลายอาคาร ล้วนแล้วแต่แสดงถึงสถาปัตยกรรมอันงดงามและแวดล้อมด้วยทัศนียภาพเขียวขจีของสวนอันน่าอภิรมย์

ประตูจอนชุมมุนเป็นประตูด้านตะวันออกของพระราชวังเคียงบกกุง จะเปิดออกสู่ถนน ซัมจองดองกิล ที่มีร้านขายฮันบก (ชุดประจำชาติ) และหอแสดงศิลปะหลายแห่ง ทางด้านเหนือสุดของถนนซัมจองดองกิล ซึ่งยาวออกไป 1 กม. ผ่านด้านหน้าของทำเนียบชองวาแด อันครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ซึ่งแผ่กิ่งก้านมาบรรจบกันตรงกลางถนนและมีสวนหย่อมตกแต่งงดงามอยู่ข้างทางหลายแห่ง จึงเป็นที่ที่จะเดินเล่นได้อย่างสบายอารมณ์ พอไปถึงปลายถนนเราก็จะเห็นสวนโรสออฟแชรอนและหอประชุมชุมชนเฮียวจาดองซารางบางซึ่งแสดงของกำนัลต่าง ๆ ที่ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ ของเกาหลีได้รับ และประวัติโดยละเอียดของกรุงโซล
ประวัติพระราชวังเคียงบกกุง
สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1394 เพื่อเป็นพระราชวังหลักของราชวงศ์โชซอน (1392-1910) อัน เป็นราชวงศ์ที่สถาปนาขึ้นโดยกษัตริย์แทโจ ในจำนวนพระราชวังทั้ง 5 ที่สร้างขึ้นในราชวงศ์นี้ พระราชวังเคียงบกกุงถือเป็นพระราชวังที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด
เบอร์โทร: 02-734-2458
วิธีการเดินทาง: ลงที่สถานีเคียงบกกุงทางออก 5 สาย 3
เวลาให้บริการ: เวลา 09.00 น.-18.00 น. (09.00 – 17.00 น. ระหว่างเดือน พ.ย. - ก.พ.)
วันให้บริการ: วันอังคารราคาค่าบริการ: 1,000 วอน



พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี
พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี




พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี
พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี




พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี
พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี




พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี
พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี




พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี
พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี




พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี
พระราชวังเคียงบ๊อก - สถานที่ท่องเที่ยวเกาหลี ประเทศเกาหลี

cradit : boxmatchtravel.com